นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และหัวหน้าพรรคกล้า เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายหลายเรื่องที่จะส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว รัฐบาลต้องมองหาโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่จะสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับประเทศซึ่งเป็นโจทย์ที่รัฐบาลต้องกล้าคิด และใช้จินตนาการให้มากขึ้นว่าจะสร้างรายได้ให้มากขึ้นได้อย่างไร ขณะที่การบริหารงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลในปัจจุบันจำเป็นที่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย การใช้งบประมาณที่มีอยู่ต้องใช้ไปในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ดังนั้นในช่วงเวลาอันใกล้จึงจำเป็นไม่ได้ที่ต้องเร่งเปลี่ยนโมเดล
สำหรับโมเดลใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ต้องหารายได้ใหม่ทดแทนรายได้เดิม เบื้องต้นมองเห็นประเด็นใหญ่ ๆ ที่น่าจะช่วยปั๊มรายได้เข้าประเทศในระยะยาว ดังนี้
1.การผลักดันยุทธศาสตร์เศรษฐกิจสีรุ้ง (Rainbow Economy) หรือการส่งเสริมและเปิดกว้างสำหรับการสร้างเศรษฐกิจรองรับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) ทั้งไทยและต่างชาติ โดยสิ่งที่ทำได้ทันทีคือ การดึงคนเหล่านี้ให้เดินทางท่องเที่ยว หรือดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น มีกิจกรรมต่าง ๆ ที่ดึงดูดความสนใจต่อเนื่อง โดยใช้โอกาสที่ตอนนี้ประเทศไทยกำลังเตรียมพร้อมเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.คู่ชีวิต หรือ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ซึ่งเชื่อว่า กฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้จะเป็นแค่การเริ่มต้นแต่ก็ช่วยแง้มประตูให้ประเทศไทยมีทางเลือกมากขึ้น และในอนาคตหากต่อยอดไปถึงการจดทะเบียนสมรสของชาวต่างชาติได้ จะยิ่งเติมเต็มรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างมหาศาล
ทั้งนี้จากผลการสำรวจในต่างประเทศชี้ชัดว่า กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ นับเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และมีกำลังซื้อสูง เฉลี่ยแต่ละมีคนกลุ่มนี้มีการใช้จ่ายคิดเป็นเงินสูงกว่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี ซึ่งจากการผู้ประกอบการโรงแรมของไทย ยังพบข้อมูลด้วยว่า กลุ่มคู่รัก LGBT ที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยใช้จ่ายเงินมากกว่าคู่รักชายหญิงประมาณ 50% ดังนั้นหากทุกฝ่ายหันมาส่งเสริมเรื่องนี้จริงจัง เชื่อว่า พลังของ LGBT จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างรายได้เข้าประเทศประมาณ 1.5 ล้านล้านบาทต่อปี
2.การดึงเรื่องสีเทาขึ้นมาให้ถูกต้อง เหมาะสม และถูกที่ถูกทาง เช่น การผลักดัน “กาสิโนถูกกฎหมาย” (Entertainment Complex)ในประเทศไทย โดยอาจทดลองทำเป็นแซนด์บ็อกซ์ หรือพื้นที่ปิดก่อน โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวใหญ่ ๆ ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปจำนวนมาก เช่น จังหวัดภูเก็ต ซึ่งนักท่องเที่ยวทัวโลกรู้จัก
โดยแนวทางการทำเรื่องนี้ ต้องเปิดให้ประชาชนร่วมกันทำประชามติว่าจะทำหรือไม่ทำ หากทดลองทำแล้วได้ผลดี ก็ขยายไปพื้นที่ทดลองอื่น ๆ ได้ แต่หากไม่ดีก็ยกเลิก หรืออาจปรับเงื่อนไขให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้จากการหารือกับบริษัทกาสิโนที่มีการลงทุนในสิงคโปร์นั้น ได้แสดงความต้องการที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในพื้นที่ภูเก็ต ด้วยวงเงินลงทุนถึงประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนตัวแล้ว เชื่อมั่นว่า จะเป็นช่องทางสร้างรายได้เข้าประเทศจำนวนมาก และรัฐบาลยังเก็บรายได้หลายทาง ทั้งการท่องเที่ยว ภาษี และเกิดการจ้างงานในพื้นที่จำนวนมากคำพูดจาก ทดลองเล่นสล็อตทุกค่ายไม่ต้องสมัคร
3.การท่องเที่ยวสายมู หรือการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณ (Spiritual Tourism) นับเป็นการท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งที่มีมานานคู่กับสังคมไทย แต่ปัจจุบันกำลังกลับมาได้รับความนิยม ซึ่งสามารถนำมาต่อยอดทำให้เกิดการกระจายรายได้ลงไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้มาก เห็นได้จากตัวอย่างของการเดินทางไหว้ขอพร ไอ้ไข่ วัดเจดีย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
รวมไปทั้งพื้นที่อื่น ๆ ที่สามารถผลักดันทำให้เกิดเส้นทางการท่องเที่ยวสายมูได้ เช่น ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งไม่ใช่แค่ได้รับความนิยมจากคนไทยเท่านั้น แต่ยังได้รับความนิยมไปถึงชาวต่างชาตินิยมมาไว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย ที่สำคัญเส้นทางการท่องเที่ยวลักษณะนี้ ประเทศไทยมีความพร้อมรองรับอยู่แล้ว ทั้งสถานที่ การอำนวยความสะดวก ขาดแต่การปรังแต่ขึ้นมาให้น่าสนใจ โดยเฉพาะการเล่าเรื่องราวที่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้
นอกจากนี้สิ่งที่จะมาช่วยสนับสนุนอีกอย่าง คือการอำนวยความสะดวกทางด้านการท่องเที่ยว โดยรัฐบาลควรหาทางปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นรองรับการเดินทาง เช่น การสร้างสะพานข้ามไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อลดระยะเวลาการเดินทางทางเรือ อีกทั้งยังช่วยรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินได้อีกด้วยคำพูดจาก ทดลองปั่นสล็อต
“อยากให้ทุกคนใช้จินตนาในการบริหารเศรษฐกิจ ผ่านการหารายได้ใหม่ ๆ ผลักดันเป็นโมเดลรายได้เข้าประเทศ แทนรูปแบบเดิม ๆ โดยเฉพาะเรื่องของการท่องเที่ยวนั้น ตอนนี้มีอะไรให้ทำอีกมาก รวมทั้งการปลดล็อกอุปสรรคการเดินทางเข้าประเทศ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว”
อย่างไรก็ตามการผลักดันสารพัดเรื่องดังที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ก็คงต้องมาติดตามกันอีกที และสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่ประเทศจะได้อะไรจากโมเดลเศรษฐกิจใหม่ แต่โจทย์ใหญ่กว่านั้นคือ ประชาชนจะได้อะไรจากสิ่งที่มาจากโมเดลนี้ต่างหาก